‘Special Project Team’ คู่คิดนักออกแบบ เพื่อเติมเต็มทุกความต้องการ

เทรนด์การออกแบบอาคารในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กำลังได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ จากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยี และแรงสนับสนุนจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการทำงานของผู้คน รวมถึงในกระบวนการออกแบบและการวางแผนการก่อสร้าง ตัวอย่างเช่น การใช้ระบบ Building Information Modeling (BIM) ที่สามารถสร้างความสัมพันธ์ของข้อมูลในการก่อสร้าง ไปใช้วิเคราะห์ผลของงานออกแบบ สร้างแบบจำลองอาคาร วิเคราะห์ข้อมูลด้านพฤติกรรมการใช้งาน ควบคุมคุณภาพของงานก่อสร้าง เพื่อให้การบริหารโครงการมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่วนในด้านการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่ต้องการความยืดหยุ่น ก็เชื่อมโยงไปถึงการเลือกใช้งานวัสดุตกแต่งที่ปรับตัวได้ง่าย มีการให้ความสำคัญกับระบบโมดูลาร์ และการจัดสรรพื้นที่แบบเอนกประสงค์ (Multi-Function) ที่ยึดตามกิจกรรมของผู้ใช้งานมากกว่าการตกแต่งที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งจะผลักดันไปสู่การใช้งานสถาปัตยกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน ซึ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญ ก็คือการออกแบบในส่วนผิวอาคาร ที่เป็นเสมือนจุดเชื่อมต่อระหว่างสภาพแวดล้อมภายในและภายนอก มีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการใช้พลังงานและความยั่งยืนของอาคาร ที่ต้องมีการเสริมสร้างความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมให้กับผู้พบเห็น ทำให้สภาพแวดล้อมในเมืองมีชีวิตชีวามากขึ้น

ทำให้แนวคิดของการออกแบบผิวอาคาร ย่อมแตกต่างกันไปตามจินตนาการของนักออกแบบ ที่ข้ามขีดจำกัดของนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างไปได้อยู่เสมอ ซึ่งตรงกันกับ Brand DNA ของ FAMELINE ในด้าน ‘Flexible for the Needs’ หรือความยืดหยุ่นในการตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์และบริการ ให้เราลองนึกภาพถึงการใช้งานวัสดุชนิดหนึ่งกับงานออกแบบ ที่มีกฎเกณฑ์และมาตรฐานที่ชัดเจนและปรับเปลี่ยนได้ยาก ทำให้มีข้อจำกัดในการทำงาน ซึ่งอาจลดโอกาสในการสร้างสรรค์ผลงานที่แตกต่าง

นั่นทำให้เกิดเป็น จุดมุ่งหมายของ Special Project Team ซึ่งมีภารกิจหลักคือ การช่วยเหลือและให้คำปรึกษากับทางสถาปนิกและนักออกแบบ ที่ต้องการสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมให้มีความทันสมัย ดีไซน์แปลกใหม่และมีเอกลักษณ์ ผ่านกระบวนการคิด พัฒนารูปแบบการติดตั้ง ด้วยวัสดุ เครื่องมือ และเครื่องจักรที่เหมาะสมกับความปลอดภัย และร่วมกันพัฒนาแนวทางเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ ที่ตรงกับแนวคิดการออกแบบให้มากที่สุด

ซึ่งกระบวนการทำงานของ Special Projects Team จะเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนของการถอดแบบ โดยมีการใช้โปรแกรม SketchUp และ Rhinoceros 3D มาช่วย์ในการสร้างโมเดลสามมิติที่มีความแม่นยำสูง รองรับการสร้างรูปทรงที่มีความซับซ้อนและพื้นผิวแบบอิสระ (Free-Form Shape) สามารถปรับแต่งหรือแก้ไขโมเดลได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้สถาปนิกทำงานออกแบบได้ง่ายขึ้น ซึ่งสถาปนิกสามารถสเก็ตซ์แบบจากในกระดาษ แล้วนำเข้ามาปรึกษาเพื่อหาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างได้  รวมถึงการให้คำปรึกษาที่ต่อเนื่องไปกับแนวคิดของการออกแบบ ทั้งการเลือกใช้งานวัสดุก่อสร้าง รูปแบบที่ใช้งาน การสร้างภาพจำลองสำหรับการติดตั้งจริง การประเมินราคางานก่อสร้างเพื่อให้เหมาะสมกับงบประมาณที่ตั้งเอาไว้ โดยทำงานควบคู่ไปกับทางสถาปนิกในทุกกระบวนการ ไปจนถึงขั้นตอนการก่อสร้าง ที่ช่วยประสานงาน ส่งต่อแนวคิดและไอเดียต่างๆ รวมถึงช่วยแก้ปัญหาที่หน้างาน เพื่อให้งานออกแบบบรรลุเป้าหมายร่วมกันจนเสร็จสมบูรณ์ เป็นบริการออกแบบอาคารแบบ ‘One Stop Service’ ที่ครบวงจรในทีมเดียว

โดยมีตัวอย่างผลงานที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ก็คือ ออฟฟิศสวนพลู’ ที่เป็นการเลือกใช้งานวัสดุ ‘Aluminium Solid Cladding’ มาปิดเป็นผิวอาคาร ซึ่งมีจุดเด่นที่การเจาะรูของแผ่น (Perforated) โดยทางทีมงานก็มีส่วนช่วยในการสร้างสรรค์ลวดลายของรู เพื่อให้เกิดมุมมองที่สวยงามจากภายใน โดยที่ไม่รบกวนสายตา และจัดวางในองศาที่พอดีกับการนำแสงธรรมชาติเข้ามาใช้งานภายในได้ด้วย

หรือโครงการ ‘TCP Building’ ที่ใช้งานวัสดุ ‘Aluminium Honeycomb Panel’ มาออกแบบเป็นครีบอาคารขนาดใหญ่ (Mega Fin Façade) เพื่อให้เกิดเป็นเส้นสายที่ดูเป็นจังหวะเคลื่อนไหว โดยใช้รูปกระทิงที่เป็นอัตลักษณ์ขององค์กร มาสร้างให้เป็นจุดดึงดูดสายตาที่มองเห็นได้จากทุกมุมมอง เพื่อเป็นเอกลักษณ์ที่สร้างการจดจำต่อผู้พบเห็น ได้อยู่เสมอ

นอกจากนี้ Special Projects Team มีการตอบกลับคำถามหรือส่งข้อมูลความรู้เรื่องวัสดุและการติดตั้ง ให้กับสถาปนิก ทั้งในส่วนของข้อมูลวัสดุเบื้องต้น เงื่อนไขการรับประกัน ผลทดสอบต่างๆ จากห้องทดลอง รวมถึงข้อมูลสำคัญอื่นๆ ที่สถาปนิกต้องการ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการออกแบบ และเป็นข้อมูลเพื่อยืนยันคุณภาพของวัสดุกับเจ้าของโครงการ โดยตรงกับรูปทรงตามที่ตั้งใจออกแบบไว้ เพื่อให้เชื่อมั่นได้ว่า ผลงานที่ออกมานั้นผ่านการดูแลเอาใจใส่จากมืออาชีพ เพื่อนำเสนอทางออกที่มีคุณภาพและเหมาะสมที่สุด ตอบสนองต่อความยืดหยุ่นในการออกแบบ และความต้องการของผู้ใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ซึ่งการทำงานแบบยึดหลักความพึงพอใจของลูกค้า คือรากฐานสำคัญของความสำเร็จในระยะยาว โดยเฉพาะกับในยุคดิจิทัล ที่ความคิดเห็นของลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยมีผลต่อการไว้วางใจและความน่าเชื่อถือในการบริการ

ซึ่ง FAMELINE ก็มีการพัฒนานวัตกรรมของวัสดุอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นผู้นำในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม และเป็นแรงผลักดันให้นักออกแบบเกิดแรงบันดาลใจใหม่ๆ โดยเริ่มต้นจากวัสดุที่มีความยั่งยืนอย่างอลูมิเนียม ที่สามารถนำมาใช้งานกับส่วนต่างๆ ได้ครอบคลุมทั่วทั้งอาคาร และต่อยอดเป็นทีมที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญ ช่วยส่งต่อแนวคิดที่ยั่งยืนขององค์กร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และทำให้โลกน่าอยู่ยิ่งขึ้น


บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า