‘การออกแบบอย่างยั่งยืน’ แนวคิดวัสดุและการลดคาร์บอนในงานสถาปัตยกรรมยุคใหม่


ในยุคที่ผ่านมา แนวคิดหลักในการออกแบบทางสถาปัตยกรรม มุ่งเน้นไปที่ ‘ความสวยงาม’ และ ‘การใช้งาน’ เป็นหลัก แต่ในโลกปัจจุบันและอนาคต ที่ต้องเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงมากขึ้น ทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติที่ลดน้อยลง และมลภาวะที่ส่งผลต่อสุขภาพของผู้คน ทำให้ ‘การออกแบบอย่างยั่งยืน’ (Sustainable Design) จึงเป็นแนวทางปฏิบัติที่จำเป็นอย่างมาก สำหรับสถาปนิกและนักออกแบบในยุคใหม่ ซึ่งในหลายประเทศจากสหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ก็มีการออกข้อบังคับให้การก่อสร้าง ต้องเป็นไปตามเกณฑ์ด้านพลังงานอย่างเคร่งครัด ขณะที่ในประเทศไทยเอง ก็เริ่มมีโครงการอาคารเขียว (Green Building) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์ ก็มีการเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการผ่านแนวคิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

Jewel Changi Airport HSBC Rain Vortex and Shiseido Forest Valley

แนวคิดหลักของการออกแบบอย่างยั่งยืน – องค์รวมของอาคาร วัสดุ และเทคโนโลยี:

ซึ่ง ‘การออกแบบอย่างยั่งยืน’ หรือ ‘การออกแบบโดยใช้แนวคิดของความยั่งยืน’ ก่อนอื่นเลยเราต้องเข้าใจก่อนว่า สถาปัตยกรรมอย่างอาคารประเภทต่างๆ หรือแม้แต่บ้านอยู่อาศัย คือระบบที่มีชีวิต มีอายุการใช้งาน และมีผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้ต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพของอาคารตลอดวงจรชีวิตการใช้งาน ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้ในหลายมิติ เพื่อช่วยส่งเสริมให้การออกแบบมีความยั่งยืนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น

Design for Disassembly (DfD):

หมายถึง การออกแบบอาคารเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงหรือรื้อถอนได้โดยสะดวก เพื่อให้สามารถนำอุปกรณ์ โครงสร้าง และวัสดุที่หมดอายุการใช้งานแล้ว กลับมาใช้งานใหม่หรือรีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยถือว่าองค์ประกอบของอาคาร คือคลังทรัพยากรที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

ตัวอย่างเช่น

  • ระบบการเชื่อมต่อโครงสร้างเหล็ก แบบใช้สลักเกลียวและน็อต เพื่อยึดแทนการเชื่อมด้วยความร้อน
  • ระบบฝ้าและผนังเบา ที่แยกออกจากโครงสร้างหลักได้ง่าย หรือหลีกเลี่ยงการใช้กาวและวัสดุเชื่อมติดที่ถาวร แต่เลือกใช้วิธีเชื่อมต่อด้วยระบบแห้งแทน

Life Cycle Thinking (LCT):

ในมุมมองของสถาปัตยกรรม คือ แนวทางในการออกแบบที่พิจารณาผลกระทบของอาคารตลอดทั้งวงจรชีวิต (Whole Life Cycle) ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตวัสดุ การก่อสร้าง การใช้งาน ไปจนถึงการรื้อถอน เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน และทรัพยากรในทุกช่วงอายุของอาคาร โดยมีเครื่องมือทางเทคนิคที่ช่วยวัดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เช่น ปริมาณรอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) การใช้ทรัพยากร (Resource Depletion) ของเสียและมลพิษ (Waste & Emissions) โดยเป็นมาตรฐานที่องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง ISO 14040 ได้ให้การสนับสนุนเอาไว้อย่างชัดเจน

ตัวอย่างเช่น

  • การใช้วัสดุที่ทนทาน มีอายุใช้งานยาวนาน เพื่อลดต้นทุนการปรับเปลี่ยนและการบำรุงรักษา
  • การออกแบบเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนการใช้งานในอนาคต เพื่อหลีกเลี่ยงการรื้อถอนใหม่ทั้งหมด

Passive Design ร่วมกับ Smart Material:

เทคนิคการออกแบบที่เน้นการใช้ธรรมชาติ มาเป็นพลังงานหลักในการควบคุมอุณหภูมิและแสงแดดให้กับอาคาร

ตัวอย่างเช่น

  • การวางอาคารให้เหมาะสมกับตำแหน่งทิศทางของลมและแดด ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานภายในอาคาร
  • โดยผสมผสานกับการใช้งานร่วมกับวัสดุอัจฉริยะ (Smart Material) ที่สามารถปรับปลี่ยนคุณสมบัติได้อัตโนมัติตามสิ่งเร้าจากภายนอก
  • เช่น กระจกที่สะท้อนรังสีความร้อน แต่ยังให้แสงธรรมชาติผ่านเข้ามาได้

วัสดุกับการออกแบบอย่างยั่งยืน – เลือกอย่างไรให้ลดคาร์บอน และใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า:

ซึ่งในส่วนของ “วัสดุก่อสร้าง” ก็ถือเป็นหนึ่งในแหล่งการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์หลักของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ตั้งแต่กระบวนการผลิต การขนส่ง การใช้งาน จนถึงการรื้อถอน สถาปนิกและนักออกแบบจึงมีบทบาทสำคัญ ในการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น

วัสดุที่รีไซเคิลได้:

เช่น วัสดุอลูมิเนียมคอมโพสิต (Aluminium Composite Panel) ที่เป็นแผ่นวัสดุอลูมิเนียมประกบไส้กลางคุณสมบัติต่างๆ สามารถนำมาแยกส่วนและหลอมกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยที่คุณสมบัติด้านโครงสร้าง และความแข็งแรงทนทานยังคงเดิม ซึ่งวัสดุอลูมิเนียมที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิล จะใช้พลังงานน้อยกว่าการผลิตจากวัตถุดิบใหม่ถึง 95% โดยสามารถใช้งานได้ด้วยรูปแบบที่หลากหลาย

วัสดุจากธรรมชาติที่ย่อยสลายได้:

เช่น แผ่นกระเบื้องดินเผา (Terracotta) ที่ผลิตจากดินเหนียวธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการทนความร้อนได้ดี ทนต่อกรดและด่าง พื้นผิวที่ไม่กักเก็บความร้อน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ในกลุ่มงานกระเบื้องหลังคาหรือเป็นแผ่นตกแต่งผิวอาคาร ด้วยรูปลักษณ์ที่เรียบง่ายและสะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่น และจากการขึ้นรูปได้จากธรรามชาติ ก็ทำให้วัสดุชนิดนี้ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติเช่นกัน

วัสดุที่ผลิตพลังงานได้:

เช่น แผงกระจกพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ที่สามารถผลิตพลังงานสะอาดได้ด้วยตัวเอง ช่วยปรับเปลี่ยนพื้นผิวอาคารหรือกันสาด ให้กลายเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ และนำพลังงานกลับไปใช้งานภายในอาคารได้ โดยยังสามารถออกแบบความโปร่งแสง และช่วยป้องกันความร้อนได้เหมือนกับกระจกทั่วไป ช่วยลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากฟอสซิล และลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ในระยะยาว

การออกแบบอย่างยั่งยืนคืออนาคตของสถาปัตยกรรม – เมื่อวัสดุกลายเป็นทางออกของวิกฤตสิ่งแวดล้อม:

เมื่อเราปรับมุมมองได้ว่า “วัสดุคือคาร์บอนที่จับต้องได้” การผลิตวัสดุก่อสร้างอย่าง ปูนซีเมนต์ เหล็ก อลูมิเนียม หรือกระจก ก็จะมีต้นทุนทางคาร์บอนซ่อนอยู่ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การสกัดวัตถุดิบ การขนส่ง พลังงานที่ใช้ในโรงงาน ไปจนถึงการรื้อถอนเมื่ออาคารหมดอายุขัย

ซึ่ง FAMELINE ในฐานะผู้ผลิตวัสดุตกแต่งอาคารชั้นนำของประเทศไทย เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความสวยงามและช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับโลกใบนี้ ผ่านแนวคิด ‘Sustainable Product Design’ ที่มีทั้งวัสดุที่รีไซเคิลได้ ระบบการติดตั้งที่ยืดหยุ่นเพื่อรองรับการถอดประกอบได้ วัสดุที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม และมีอายุการใช้งานยาวนาน หรือการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ามาในวัสดุ เพื่อให้สามารถนำพลังงานมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยผลักดันวงการก่อสร้างไทย ให้เดินหน้าไปสู่เป้าหมายของอาคารที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Building)

และช่วยให้นักออกแบบสามารถนำวัสดุมาสร้างสรรค์ได้หลากหลาย ด้วยงานออกแบบที่เป็น ‘เชิงระบบ’ และ ‘ยืดหยุ่น’ ได้มากขึ้น สะท้อนไปถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน พร้อมรับมือกับวิกฤตในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ มูลค่าพลังงานที่สูงขึ้น โรคระบาด หรือวิกฤตทางเศรษฐกิจ

ทำให้ ‘การออกแบบที่ยั่งยืน’ ไม่ใช่แค่เทรนด์ที่มาแล้วก็ผ่านไป แต่เป็น ‘พื้นฐานใหม่’

ที่บ่งบอกถึงของความเข้าใจต่อโลกมนุษย์อย่างลึกซึ้ง

ซึ่งผู้ที่ผสมผสานหลักการนี้ร่วมกับความสวยงามและการใช้งานได้ ย่อมได้เปรียบในแง่ของความเชื่อมั่น และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้ในระยะยาว

แหล่งอ้างอิง:

  • https://www.archdaily.com/943366/a-guide-to-design-for-disassembly
  • https://medium.com/disruptive-design/a-guide-to-life-cycle-thinking-b762ab49bce3
  • https://parametric-architecture.com/smart-materials-the-future-of-efficient-and-cutting-edge-design

สามารถดูข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่นี่:

สามารถติดตามช่องทางอื่นๆ ได้ที่นี่:


บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า