กันฝน ทนทาน ใช้งานได้คุ้มค่า ด้วยวัสดุ ‘Standing Seam Roof & Wall’
ฝนที่ตกหนักเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ มีผลมาจากการเปลี่ยงแปลงอย่างรุนแรงของสภาพอากาศทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และยังทำให้อาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหายจากปัญหาน้ำท่วมขัง น้ำฝนกัดเซาะ หรือน้ำฝนรั่วซึมจากหลังคาและผนัง ที่เป็นปัญหาหลักจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่องกันหลายวัน ซึ่งน้ำฝนอาจแทรกซึมผ่านจุดรอยต่อของวัสดุหรือโครงสร้างอาคาร ส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น การผุพังของวัสดุตกแต่งที่ไม่ทนน้ำ การผุกร่อนของวัสดุโครงสร้าง หรือการเกิดคราบเชื้อราภายในบ้าน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ด้านความสวยงาม และภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมแล้ว ยังส่งผลไปถึงเรื่องสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งานอาคารหรือบ้านพักอาศัย ซึ่งจากปัญหาน้ำรั่วซึมตามจุดต่างๆ ทำให้สถาปนิกและเจ้าของโครงการ ต้องพิจารณาถึงการเลือกใช้วัสดุและขั้นตอนการติดตั้งให้มากขึ้น โดยเฉพาะปัจจัยในด้านความปลอดภัยและความคุ้มค่าต่อการลงทุนในระยะยาว ซึ่งนอกจากสภาพอากาศที่แปรปรวนจนทำให้เกิดพายุฝนขึ้นบ่อยครั้ง อุณหภูมิที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นทุกปี ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ท้าทายสำหรับการก่อสร้างหรือปรับปรุงอาคารในยุคปัจจุบัน
ดีไซน์ไร้รอยต่อ เพื่อการป้องกันน้ำรั่วซึมอย่างสมบูรณ์
นั่นทำให้การเลือกใช้งานวัสดุปิดผิวอาคาร ต้องคำนึงถึงความแข็งแรงทนทาน และต้องป้องกันปัญหาน้ำรั่วซึมจากฝนที่ตกหนักได้ โดยที่ยังต้องตอบโจทย์ในด้านความสวยงาม อย่างการเลือกใช้งานแผ่นหลังคาและผนังแบบรีดพับตะเข็บ Standing Seam Roof & Wall จาก FAMELINE ที่มีการออกแบบตัวแผ่นให้สามารถติดตั้งได้ต่อเนื่องกันแบบไร้รอยต่อ (Seamless Design) ด้วยการล็อคตัวแผ่นแบบซ้อนทับ ซึ่งช่วยลดรอยต่อระหว่างแผ่นซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญที่น้ำอาจซึมผ่านได้ ซึ่งแตกต่างจากลักษณะการติดตั้งแผ่นแบบทั่วไปที่ต้องมีการเจาะรู หรือการใช้สกรูที่มองเห็นได้จากภายนอก ซึ่งอาจเกิดการสึกกร่อนของสกรู บริเวณรอบรูที่เจาะ หรือรอยต่อแผ่นที่ปิดไม่สนิท ทำให้เกิดช่องว่างทำให้น้ำซึมผ่าน ซึ่งการซ่อนสกรูไว้ด้านในทำให้ผิวของแผ่นมีความเรียบเนียนสม่ำเสมอกัน ป้องกันปัญหาการรั่วซึมของน้ำฝนได้แบบ 100% นอกจากนี้ ตัวแผ่นยังมาพร้อมกับระบบการล็อคแบบแนวดิ่ง (Vertical Locking System) ที่เป็นระบบการล็อคแผ่นที่แข็งแรง ซึ่งการยึดแผ่นที่แน่นหนาตลอดแนวดิ่งนี้ จะช่วยให้น้ำฝนไหลลงตามแนวแผ่นโดยไม่มีการซึมผ่านที่รอยต่อ และไม่มีการกักเก็บน้ำหรือเปิดช่องว่างให้น้ำซึมผ่านเข้าสู่ตัวอาคาร เป็นการเพิ่มความมั่นใจในการป้องกันน้ำรั่วซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เลือกวัสดุที่ใช่จาก 3 ตัวเลือกคุณภาพ
ซึ่งวัสดุ Standing Seam Roof & Wall จาก FAMELINE สามารถเลือกออกแบบได้ถึง 3 วัสดุ ได้แก่
- วัสดุอลูมิเนียม: ที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง มีขนาดความกว้างของตัวแผ่นให้เลือกใช้งาน 3 ขนาด คือ 220, 320 และ 520 มิลลิเมตร ตะเข็บด้านข้างแผ่นสูง 26 มิลลิเมตร มีความทนทานต่อสภาวะการกัดกร่อนทางธรรมชาติได้ดี อายุการใช้งานยาวนาน เคลือบสีด้วยระบบเคลือบแบบ PVDF ที่ได้มาตรฐานในระดับสากล มีการรับประกันสีนานถึง 20 ปี
- วัสดุสังกะสีคุณภาพสูง (Natural Zinc): ที่มีสังกะสีคุณภาพสูง Z1 ที่มีส่วนประกอบหลักเป็นสังกะสีบริสุทธิ์ 99.995% ตามมาตรฐาน EN1179 และเสริมความแข็งแรงด้วยไทเทเนียมและทองแดง มีขนาดความกว้างของตัวแผ่นให้เลือกใช้งาน 2 ขนาด คือ 250 และ 415 มิลลิเมตร ตะเข็บด้านข้างแผ่นสูง 26 มิลลิเมตร
- วัสดุทองแดง (Classic Copper): ชนิด DHP Copper (Deoxidized High Phosphorus) มีความทนทานต่อสภาพอากาศ น้ำหนักเบา และรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ มีขนาดความกว้างของตัวแผ่นให้เลือกใช้งาน 2 ขนาด คือ 250 และ 415 มิลลิเมตร ตะเข็บด้านข้างแผ่นสูง 26 มิลลิเมตร
โดยที่วัสดุทั้งสามชนิดนี้ มีความหนา 0.7 มิลลิเมตร และสามารถติดตั้งได้ทั้งส่วนผนังและหลังคา ลักษณะแบบเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งอาคาร โดยส่วนของหลังคาสามารถติดตั้งให้มีความลาดเอียงได้ต่ำสุด 3 องศา เหมาะสมกับการใช้งานกับบ้านพักอาศัย หรืออาคารสาธารณะอย่างร้านค้า ร้านอาหาร หรือศูนย์การค้าของชุมชน (Community Mall) เพื่อให้ได้บรรยากาศของงานออกแบบในสมัยยุคอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม แต่ก็ตอบโจทย์ในด้านความทันสมัย
ผสานดีไซน์และประสิทธิภาพ เพื่อการใช้งานที่คุ้มค่าในระยะยาว
ซึ่งการติดตั้งตัวแผ่นจากผนังไปสู่หลังคา ที่สามารถช่วยป้องกันน้ำฝนรั่มซึมได้นั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยทำให้มุมมองของอาคารเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ยังเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาว เนื่องจากคุณสมบัติที่ทนทานต่อทุกสภาพอากาศ หมดปัญหาเรื่องสนิมหรือการผุกร่อนของวัสดุ ประกอบกับการติดตั้งแผ่นในแนวตั้งที่เหมาะสมกับการใช้งานของระบบผนังและหลังคาได้ดีกว่า ช่วยทำให้การประกอบชิ้นส่วนของแผ่นทำได้ง่ายและเร็วขึ้น ลดเวลาทำงานที่หน้างานและจำนวนแรงงาน นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับวัสดุ ทำให้ทนทานต่อแรงกระแทกจากแรงลม และด้วยน้ำหนักที่เบากว่า ทำให้สามารถออกแบบรูปทรงของผนังและหลังคาได้หลากหลายมากขึ้น ทั้งรูปทรงหลังคาสามเหลี่ยมหน้าจั่วแบบสมมาตร หรือในแบบที่ระยะหลังคาทั้งสองด้านไม่เท่ากัน ที่กำหนดความลาดชันได้อย่างอิสระ (แต่ไม่ควรต่ำกว่า 3 องศา) หลังคารูปทรงเพิงหมาแหงนที่ลาดเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง หลังคารูปทรงปั้นหยาที่มีการปิดมุมของหลังคาที่ดูเฉียบคมและทันสมัย รวมไปถึงรูปทรงอาคารที่เป็นทรงกล่องแบบเรียบง่าย หรือหากต้องการความท้าทายมากยิ่งขึ้น ก็สามารถออกแบบเป็นอาคารรูปทรงเพชร (Diamond Shape) หรือรูปทรงเรขาคณิต (Geometric) ที่มีเส้นสายอันเป็นเอกลักษณ์ สร้างความคุ้มค่าในด้านของรูปลักษณ์ที่โดดเด่นแบบไม่ตกยุค และประสิทธิภาพของวัสดุที่ทนทานกว่าในระยะยาว
สามารถดูข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่นี่: E-Brochure Standing Seam
สามารถติดตามช่องทางอื่นๆ ได้ที่นี่:
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง