ระแนงอลูมิเนียม ‘Litewood’ ความสวยงามแบบธรรมชาติ ที่อยู่คู่กับสถาปัตยกรรมมาอย่างยาวนาน
การออกแบบทางสถาปัตยกรรม ต้องแสวงหาความกลมกลืนระหว่างสุนทรียศาสตร์และการใช้งาน ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่มีมาอย่างยาวนาน ในยุคแรกโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมยุคนั้นแสนเรียบง่าย ด้วยการใช้งานวัสดุจากธรรมชาติอย่างไม้ หิน หรือหนังสัตว์ ในการเป็นองค์ประกอบหลักของงานก่อสร้าง ต่อมาในช่วงการฟื้นฟูองค์ประกอบแบบคลาสสิก มีการเน้นความสมมาตร สัดส่วนที่เหมาะสมกับการใช้งาน และรายละเอียดการออกแบบอันหรูหรา จนมาถึงยุคใหม่ ที่เน้นอาคารรูปทรงเรขาคณิตแบบเรียบง่ายแต่มีความหลากหลาย ซึ่งมีการผสมผสานความยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี และอิทธิพลทางวัฒนธรรม
ซึ่งจากรูปแบบของวัสดุธรรมชาติ ที่อยู่คู่กับสถาปัตยกรรมมาได้อย่างกลมกลืนอยู่เสมอ ก็คือวัสดุ “ไม้” ที่มีความโดดเด่นในการสร้างบรรยากาศ ที่ผสมผสานความงามตามธรรมชาติ ให้เข้ากับโครงสร้างและการใช้งานของอาคารได้อย่างลงตัว ตั้งแต่งานโครงสร้างไม้ในยุคโบราณ ไปจนถึงการตกแต่งด้วยระแนง ฝาผนัง บันได หรือหลังคา ซึ่งทำให้วัสดุชนิดนี้มีความอเนกประสงค์ และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่ต้องการเพิ่มบรรยากาศของความอบอุ่น ด้วยรูปลักษณ์และพื้นผิวแบบธรรมชาติ
วิวัฒนาการของวัสดุไม้ในสถาปัตยกรรม
การก่อสร้างและตกแต่งด้วยวัสดุไม้ ถูกนำมาใช้ในงานสถาปัตยกรรมมานานหลายศตวรรษ และมีความหลากหลายในการใช้งาน ตั้งแต่คานไม้เพื่อรองรับงานโครงสร้าง เปลือกอาคารที่ทำด้วยไม้ หรือใช้เป็นโครงสร้างเพื่อรองรับวัสดุหลังคามุงจาก กก หรือฟาง เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง เพิ่มความทนทานต่อสภาพอากาศ ต่อมาในช่วงยุคกลาง บ้านเรือนของชาวอเมริกัน มักใช้ระแนงไม้ในการก่อสร้างโรงนา เพิง และบ้านไร่แบบเรียบง่าย จนถึงในช่วงศตวรรษที่ 19 มีการใช้ระแนงไม้ในการฟื้นฟูอาคารในสไตล์วิกตอเรียนและกอทิก โดยเป็นการตกแต่งเพื่อเพิ่มรายละเอียดส่วนหน้าของอาคาร และช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างเดิมได้อีกด้วย
จนมาถึงช่วงสถาปัตยกรรมร่วมสมัยในปัจจุบัน การใช้ไม้เป็นโครงสร้างอาคารเริ่มลดน้อยลง เนื่องจากมีวัสดุอื่นๆ ที่สามารถทดแทนหน้าที่ส่วนนี้ได้มีประสิทธิภาพมากกว่า การใช้งานวัสดุไม้จึงมีบทบาทสำคัญสำหรับการตกแต่ง เพื่อสร้างบรรยากาศของความอบอุ่นแบบธรรมชาติ เช่น พื้นไม้ ฝาผนัง ฝ้าชายคา หรือนำไปใช้เป็นองค์ประกอบของเฟอร์นิเจอร์ และรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ซึ่งโดยส่วนมากแล้วการออกแบบด้วย ‘ระแนงไม้’ จะเป็นรูปแบบที่พบเห็นได้มากที่สุด โดยมักใช้เป็นองค์ประกอบสำหรับการตกแต่งเปลือกอาคาร ม่านบังแดด กันสาดทางเดิน งานตกแต่งฝ้าเพดาน หรือใช้เพื่อแบ่งกั้นพื้นที่ภายใน เพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวแต่ก็ดึงดูดทางสายตาได้ดี ด้วยรายละเอียดของพื้นผิวที่ดูมีเสน่ห์ เพิ่มคุณลักษณะที่ส่งเสริมความยั่งยืนของสถาปัตยกรรมในยุคปัจจุบัน
ทำไมสถาปนิกนิยมใช้งานระแนงไม้ ?
สถาปนิกมักนำระแนงไม้มาใช้ในการออกแบบด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป แต่ด้วยเหตุผลหลักๆ แล้ว ก็คงหนีไม่พ้นความสวยงามแบบเป็นธรรมชาติ ด้วยลวดลายและพื้นผิวของไม้ที่ยากต่อการคาดเดา ทำให้เป็นเสน่ห์ที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นให้กับงานสถาปัตยกรรม ซึ่งเหมาะสมกับการใช้งานทั้งภายนอกและภายใน โดยทำให้พื้นที่ดูมีมิติมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น การตกแต่งฝ้าเพดานภายในด้วยระแนงไม้ ช่วยเพิ่มมุมมองด้านความลึกให้กับพื้นผิวของฝ้าเพดาน เพื่อสร้างความน่าสนใจทางสายตาของพื้นที่ภายใน หรือหากเป็นพื้นที่ภายนอก ระแนงไม้มักทำหน้าที่เป็นฉากกั้นสำหรับบังแดด เพื่อช่วยควบคุมปริมาณแสงแดดที่เข้ามาในพื้นที่ภายในอาคาร ช่วยลดแสงสะท้อนและความร้อนในอาคาร และด้วยระยะห่างที่สามารถปรับได้ตามสัดส่วนที่เหมาะสม ทำให้ระแนงไม้ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ในขณะที่ยังปล่อยให้อากาศ และแสงส่องผ่านได้ด้วยจังหวะที่สวยงาม
ระแนงไม้ยังสามารถทำให้เกิดการระบายอากาศตามธรรมชาติได้ ด้วยช่องว่างระหว่างแผ่นระแนง ที่ส่งเสริมให้อากาศเกิดการไหลเวียน ทำให้มีการปรับสมดุลของอุณหภูมิในพื้นที่นั้นได้ดี เป็นทางเลือกหนึ่งในการช่วยลดการใช้พลังงานภายในอาคาร และปกป้องวัสดุผนังหลักของอาคาร หรือออกแบบระแนงให้ปกปิดองค์ประกอบของโครงสร้าง อย่างเครื่องจักร สายไฟ หรือท่อประปา ทำให้พื้นที่ดูเรียบร้อยสะอาดตา ซึ่งรูปแบบของพื้นผิวและสีสันของระแนงไม้ ก็มีให้เลือกใช้งานหลากหลาย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการออกแบบ ทั้งงานสร้างใหม่หรืองานปรับปรุงต่อเติม เพื่อความเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อม หรือการรักษารูปแบบของอาคารเดิมที่เสื่อมโทรมลงไป
วัสดุทดแทนที่มีคุณสมบัติเหนือกว่า
แม้ว่าในเชิงความสวยงามแล้ว การออกแบบด้วยลวดลายของไม้ จะสามารถผสมผสานกับวัสดุอื่นๆ ได้อย่างหลากหลายทั้ง เหล็ก คอนกรีต หิน หรือกระจก แต่ในด้านการใช้งานและการดูแลรักษา การเลือกใช้งานไม้จริง ก็มีผลกระทบบางอย่างที่อาจเกิดปัญหากับผู้ใช้งานได้ เช่น มีปัญหาเรื่องการทนทานต่อความชื้น ที่อาจทำให้เกิดการบิดเบี้ยวและเน่าเปื่อยได้ ปัญหาเรื่องการลุกลามหากเกิดไฟไหม้ ปัญหาเรื่องสัตว์รบกวน เช่น ปลวก มดช่างไม้ และแมลงด้วงเจาะไม้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก หากไม่ได้รับการควบคุมอย่างเร่งด่วน ทำให้โครงสร้างที่ทำด้วยไม้จริง ต้องมีการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม เนื่องจากมีอายุการใช้งานที่จำกัดเมื่อเทียบกับวัสดุอย่างเหล็กหรือคอนกรีต จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง
ทำให้ในปัจจุบัน มีวัสดุที่ใช้สำหรับทดแทนไม้เป็นจำนวนมาก ทั้งอลูมิเนียม ไฟเบอร์ซีเมนต์ ไวนิล หรือ WPC (Wood Plastic Composite) ซึ่งในพื้นที่ของระแนงตกแต่งก็มักเลือกใช้เป็นวัสดุที่มีความหลากหลาย อย่างระแนงอลูมิเนียม รุ่น Litewood จาก FAMELINE ที่มีลวดลายสวยงามเสมือนไม้จริง มีคุณสมบัติของอลูมิเนียมที่มีความแข็งแรงทนทานทุกสภาพอากาศ มีน้ำหนักเบา ช่วยลดภาระโครงสร้างได้ดี ไม่ลามไฟ มีอายุการใช้งานยาวนาน ผ่านการเคลือบสีแบบพิเศษ ทำให้สีไม่ซีดจาง ใช้งานได้อย่างยาวนานถึง 20 ปี ติดตั้งด้วยระบบ Snap-Lock โดยไม่ต้องใช้สกรู ด้วยอุปกรณ์ติดตั้งที่ได้มาตรฐาน ทำให้สามารถทำงานได้สะดวกรวดเร็ว หรือหากต้องติดตั้งในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อแรงลม ก็สามารถเสริมความปลอดภัยด้วยการยิงสกรูเพิ่มไปบนตัวแผ่นได้
มาพร้อมขนาดหน้ากว้างแผ่นที่ 12, 25, 50 และ 100 มิลลิเมตร สามารถติดตั้งแบบคละสีและคละไซส์ได้ในขาจับเดียว (Multi-Panel) เพื่อตอบโจทย์ในการสร้างสรรค์งานออกแบบระแนงที่ไม่ซ้ำใคร เพิ่มมิติที่ตื้นลึกให้กับพื้นที่ภายในให้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถใช้กับงานตกแต่งบริเวณเปลือกอาคาร (Façade) ติดตั้งเป็นระแนงบังแดด ระแนงหลังคากันสาด ระแนงตกแต่งผนัง หรือระแนงตกแต่งฝ้าเพดาน เพื่อบดบังงานระบบด้านบน ด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายแบบเป็นธรรมชาติ ส่งเสริมแนวคิดของวัสดุที่มีความยั่งยืน และเป็นมิตรกับธรรมชาติอย่างแท้จริง
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
เทรนด์วัสดุตกแต่งอาคาร ในปี 2025 ‘เบาแต่ทน ปรับเปลี่ยนได้ และต้องยั่งยืนขั้นสุด’
ในช่วงปี 2-3 ปีที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบวัสดุตกแต่งอาคารขึ้นมากมาย ทั้งรูปลักษณ์ที่ทันสมัยและมีความหลากหลายมากขึ้น การประยุกต์ใช้งานวัสดุร่วมกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ หรือแนวคิดของวัสดุรักษ์โลกที่ส่งเสริมต่อสถาปัตยกรรมสีเขียว
‘Sustainable Materials’ วัสดุเพื่อความยั่งยืนในงานสถาปัตยกรรม
ในยุคที่ความยั่งยืนกลายมาเป็นหัวใจสำคัญของงานสถาปัตยกรรม ผ่านการออกแบบที่นอกจากจะมุ่งเน้นไปที่ความสวยงามหรือฟังก์ชันการใช้งานแล้ว ยังต้องตอบสนองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ทำให้การเลือกใช้งานวัสดุที่ยั่งยืน (Sustainable Materials) กำลังมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง
‘FAMELINE’ กับการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ผ่านพลังงานสะอาดและการผลิตที่ยั่งยืน
Sustainable Development Goals หรือ SDGs คือแนวทางในการพัฒนาโลกไปสู่อนาคตที่มีความยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยเป้าหมาย 17 ข้อ ที่ครอบคลุมประเด็นสำคัญทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยมีแนวคิดในเรื่องความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ที่ต้องคำนึงถึงการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
กันฝน ทนทาน ใช้งานได้คุ้มค่า ด้วยวัสดุ ‘Standing Seam Roof & Wall’
ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องกันหลายวัน อาจทำให้น้ำฝนแทรกซึมผ่านจุดรอยต่อของวัสดุหรือโครงสร้างอาคาร ทำให้เกิดความเสียหายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ด้านความสวยงาม ภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม และส่งผลไปถึงเรื่องสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งานอาคาร
‘Carbon Footprint Organization’ กับการขับเคลื่อนสู่ ‘Corporate Sustainability’
‘Corporate Sustainability หรือความยั่งยืนในระดับองค์กร คือแนวคิดในการดำเนินธุรกิจให้ยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งหนึ่งในแนวทางที่สำคัญก็คือการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด (Carbon Footprint) ที่ปล่อยออกมาตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์และการบริการ
‘Aluminium Honeycomb Panel’ ออกแบบ ติดตั้ง รื้อถอน วัสดุทันสมัยที่ใส่ใจโลกในทุกขั้นตอน
เมื่อเรากำลังก้าวไปสู่ ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling) ทำให้อุตสาหกรรมการก่อสร้าง ต้องใส่ใจในการเลือกใช้งานวัสดุ ที่สัมพันธ์กับวงจรชีวิตของอาคาร (Building Life Cycle) หรือก็คือแนวคิดที่ใช้วิเคราะห์ผลกระทบและต้นทุน