บทบาทสำคัญของ ‘ฝ้าอลูมิเนียม’ ในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
ทำไมวัสดุ ‘อลูมิเนียม’ จึงเหมาะสมกับการใช้งานบริเวณฝ้าเพดาน?
ถ้าจะตอบคำถามนี้ก็ต้องมองย้อนกลับไปว่า เราต้องการคุณสมบัติของวัสดุแบบไหนในการตกแต่งฝ้าเพดาน ที่ต้องให้แน่ใจว่าตรงตามข้อกำหนดด้านความสวยงามและการใช้งานจริง โดยต้องแสดงออกถึงพื้นผิวที่สะท้อนแนวคิดของการออกแบบโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวเรียบหรือพื้นผิวเลียนแบบธรรมชาติ ความทนทานต่อการสึกหรอจากสภาพอากาศ ทนทานต่อการขีดข่วน รอยบุบ การยืดหดตัว ความต้านทานต่อความชื้น และต้องสามารถบำรุงรักษาได้ง่าย เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งาน สร้างความคุ้มค่าในเรื่องการใช้งานและมุมมองด้านความสวยงามได้ในระยะยาว
รวมถึงคุณสมบัติพิเศษ ที่มีความสำคัญกับการออกแบบเพื่อความยั่งยืน อย่างคุณสมบัติของวัสดุที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ มีความเป็นฉนวนที่ช่วยควบคุมคุณภาพของเสียงและป้องกันการลุกลามของไฟได้ ซึ่งต้องมีมาตรฐานด้านความปลอดภัย ที่เฉพาะเจาะจงในแต่ละพื้นที่ รวมถึงความยาก-ง่ายในการติดตั้ง เพื่อเป็นการวางแผนการทำงานและลดการใช้ทรัพยากรที่เกินความจำเป็น และที่สำคัญก็คือ ต้องเป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่นในการออกแบบ เพิ่มความเป็นไปได้ในการออกแบบที่หลากหลายมากขึ้น และครอบคลุมทุกพื้นที่ในการใช้งาน
ซึ่งในทุกข้อที่กล่าวมา เป็นคุณสมบัติเด่นของวัสดุฝ้าอลูมิเนียมจาก FAMELINE ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ในการออกแบบฝ้าเพดาน ให้เหมาะสมกับงานอาคารประเภทได้ทุกประเภท ทุกพื้นที่ เพื่อตอบโจทย์งานสถาปัตยกรรมที่ยั่งยืน
วิวัฒนาการด้านความสวยงามของฝ้าเพดาน
ถ้าเรามองว่าผนังอาคารด้านนอก คือผืนผ้าใบขนาดใหญ่ที่ต้องมีการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะลงไปในนั้น เพื่อเพิ่มความสวยงามโดดเด่นให้กับอาคาร พื้นที่ของฝ้าเพดาน ก็เป็นเหมือนผืนผ้าใบที่อยู่ในมิติด้านบน ที่ช่วยเติมเต็มองค์ประกอบของการออกแบบร่วมกับผนังและพื้นเช่นกัน โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งเป็นฝ้าเพดานที่ใช้งานภายในอาคาร และฝ้าเพดานที่ใช้งานในลักษณะกึ่งภายนอก-ภายใน เช่น ฝ้าชายคา ฝ้าทางเดิน หรือฝ้าในส่วนกันสาด (Canopy)
โดยหน้าที่หลักของฝ้า คือการซ่อนโครงสร้างพื้นและหลังคาด้านบน ซึ่งถ้าย้อนไปในยุคอียิปต์โบราณ ฝ้าเพดานมักตกแต่งด้วยภาพวาดและงานแกะสลัก ที่แสดงถึงความเชื่อทางศาสนาหรือชีวิตประจำวัน ในยุคกรีกและโรมัน พื้นที่ของฝ้าจะเต็มไปด้วยงานจิตรกรรมสุดตระการตา มีการเพิ่มสีสันที่สดใสเพื่อการสื่อสารในเชิงสัญลักษณ์ หรือมีการเพิ่มรายละเอียดบางอย่าง เช่น ฝ้าเพดานแบบหลุมที่เริ่มต้นในยุคเรอเนซองส์ การแกะสลักบัวรอบพื้นที่ฝ้า หรือฝ้าเพดานทรงโค้งที่แสดงออกถึงความโอ่โถงยิ่งใหญ่ ซึ่งต่างก็ถูกวิวัฒนาการขึ้นมาตามอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย
จนมาถึงกลางศตวรรษที่ 20 วัสดุ ‘อลูมิเนียม’ เริ่มมีการใช้งานที่กว้างขวางมากขึ้น ด้วยลักษณะที่มีน้ำหนักเบา ทนต่อการกัดกร่อน และยืดหยุ่นต่อการใช้งานได้ดี โดยเฉพาะกับพื้นที่ของฝ้าเพดาน ที่กำลังมองหาวัสดุใหม่ๆ ที่ใช้งานได้จริงและมีความโดดเด่นสวยงาม มีการเริ่มใช้งานฝ้าอลูมิเนียมแบบแผ่น กับการออกแบบอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า และพื้นที่สาธารณะอื่นๆ จนเริ่มมีการทดลองใช้อลูมิเนียมในรูปแบบใหม่ ด้วยโปรไฟล์ที่อัดขึ้นรูปเป็นเส้นตรง อย่างฝ้าอลูมิเนียมแบบเส้น ที่มีขนาดของแผ่นฝ้าที่แตกต่างกันไป เพื่อให้สามารถออกแบบฝ้าเพดานให้มีรูปแบบที่ซับซ้อนได้มากขึ้น มีการสร้างลวดลายและพื้นผิวที่เป็นเอกลักษณ์
ก่อนออกแบบฝ้า ควรพิจารณาถึงเรื่องไหนบ้าง?
เรื่องของสไตล์และการตกแต่ง อิทธิพลของสไตล์และการตกแต่งภายในที่ชัดเจนในยุคก่อน ยังคงแสดงออกในอาคารยุคปัจจุบันอย่างอาคารในวัด โบสถ์ หรือพระราชวัง ส่วนการออกแบบฝ้ากับอาคารสาธารณะและบ้านพักอาศัย ได้ถูกลดทอนรายละอียดลงตามรูปแบบของสถาปัตยกรรมในสมัยใหม่ ที่เน้นความเรียบง่ายและใช้งานได้จริง โดยต้องมีความสัมพันธ์กับแนวคิดในการออกแบบภายใน
ตัวอย่างเช่น อาคารสำนักงานที่ต้องการดึงบรรยากาศของธรรมชาติเข้ามาภายในอาคาร ก็สามารถเลือกออกแบบฝ้าอลูมิเนียม ที่มีโทนสีลายไม้ให้เลือกใช้งาน เพื่อส่งเสริมบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีขึ้น
เรื่องของขนาดและลักษณะของพื้นที่ ก็มีผลกับสัดส่วนในการออกแบบฝ้าเพดาน ตัวอย่างเช่น ในพื้นที่โถงทางเข้าของอาคารขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดกว้างและมีคนใช้งานเป็นจำนวนมาก วัสดุฝ้าที่ใช้งานจึงต้องมีขนาดใหญ่และแข็งแรงแบบไม่ตกท้องช้าง ก็ควรเลือกฝ้าอลูมิเนียมที่เหมาะสมกับฝ้าเพดานสูง อย่างรุ่น Mega+ Ceiling ที่เป็นแผ่นฝ้าขนาดใหญ่มาพร้อมโครงสร้างแบบรังผึ้ง ทำให้แผ่นฝ้ามีความเรียบเนียนเสมอกันทั่วทั้งแผ่น มีน้ำหนักเบา เพียง 5 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ซึ่งเบากว่าเมื่อเทียบกับวัสดุอื่นที่ใช้งานในขนาดเดียวกัน ช่วยลดรอยต่อในการติดตั้ง สามารถเปิด-ปิดแผ่นฝ้า เพื่อขึ้นไปซ่อมบำรุงงานระบบด้านบนได้
ส่วนพื้นที่ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพของเสียงให้ดีขึ้น อย่างหอประชุม โรงละคร ห้องเรียน และพื้นที่ทำงานในสำนักงาน ก็นิยมใช้งานเป็นแผ่นอลูมิเนียมแบบเจาะรู เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการดูดซับเสียง ที่เป็นหลักการเดียวกันกับวัสดุอะคูสติกอื่นๆ ซึ่งฝ้าในรุ่น Absorb+ Ceiling เป็นฝ้าอลูมิเนียมแผ่นสี่เหลี่ยมแบบเจาะรู (Perforated) ที่มาพร้อมกับแผ่น Acoustic Sheet มีคุณสมบัติการดูดซับเสียงได้สูงสุดถึง 80% (มีค่า NRC สูงสุดอยู่ที่ 0.8) ตัวแผ่นมีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่ายด้วยโครงเคร่าระบบทีบาร์ เป็นตัวช่วยในการสร้างสภาพแวดล้อมภายในอาคาร ผ่านการเพิ่มคุณภาพทางด้านเสียงที่ดี ซึ่งจะนำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
คุณสมบัติของฝ้าแห่งอนาคต
เมื่อผู้คนเริ่มใส่ใจกับสุขภาวะที่ดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ การเลือกใช้วัสดุที่ช่วยสร้างความมั่นใจในด้านความปลอดภัยต่อสุขภาพ จึงมีข้อได้เปรียบอย่างยิ่งในการเป็นองค์ประกอบหนึ่ง ของงานสถาปัตยกรรมแห่งอนาคต
ตัวอย่างเช่น คุณสมบัติในการทนไฟ โดยธรรมชาติของวัสดุอลูมิเนียม ช่วยเพิ่มความปลอดภัยตามมาตรฐานด้านกฎหมายของอาคาร ในกรณีที่เกิดเพลิงไหม้ ฝ้าเพดานอลูมิเนียมจะมีส่วนช่วยในการลดการแพร่กระจายของเปลวไฟ ทำให้สามารถใช้งานกับอาคารที่มีผู้คนจำนวนมากได้ และด้วยความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบากว่าของอลูมิเนียม ทำให้เอื้อต่อการติดตั้งร่วมกับอุปกรณ์ตกแต่งอื่นๆ เช่น ไฟส่องสว่าง แถบไฟ LED และเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อสร้างสรรค์งานฝ้าเพดานให้แตกต่างให้ได้มากขึ้น
รวมถึง คุณสมบัติด้านความยั่งยืนและอาคารสีเขียว ซึ่งกำลังเป็นประเด็นสำคัญในงานสถาปัตยกรรม ทั้งการออกแบบด้วยสภาพแวดล้อมที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติ การใช้งานวัสดุที่รีไซเคิลได้แบบ 100% รวมถึงลักษณะของการติดตั้ง ที่ต้องใช้ทรัพยากรให้มีประโยชน์สูงสุด ซึ่งคุณสมบัติของวัสดุฝ้าอลูมิเนียม มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำมากลับใช้ใหม่ได้ทั้งหมดโดยไม่กระทบต่อคุณภาพของวัสดุ ช่วยลดของเสียในการผลิต ส่วนการติดตั้งอลูมิเนียมด้วยระบบแห้ง ก็ช่วยลดระยะเวลาและสามารถกำหนดระยะเวลาการทำงานได้ชัดเจน ทำให้งานก่อสร้างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับกับการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี
แสดงให้เห็นว่า แม้การวิวัฒนาการของการตกแต่งเพดานด้วยวัสดุอลูมิเนียม จะสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และเชิงอุตสาหกรรม ไปจนถึงการผสมผสานในการออกแบบที่เป็นนวัตกรรม ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามจินตนาการมากเพียงใด แต่โดยพื้นฐานแล้ววัสดุอลูมิเนียมมีเนื้อแท้ที่แข็งแกร่ง ที่เป็นประโยชน์ต่องานสถาปัตยกรรมมาอย่างช้างาน และยังคงยั่งยืนต่อไปอีกแสนนาน
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
‘ฝ้าดูดซับเสียง’ ตัวช่วยสำคัญในการลดมลภาวะทางเสียงภายในอาคาร
เมื่อเราต้องสัมผัสกับปัญหามลภาวะทางเสียงภายในอาคารอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับปัญหาการเกิด ‘เสียงสะท้อน’ กับพื้นที่ภายในอาคาร ที่เกิดขึ้นจากเสียงภายในห้องที่เดินทางไปกระทบกับพื้นผิวต่างๆ
‘FAMELINE PV Glass’ พลังงานสะอาดเพื่อสถาปัตยกรรมที่ยั่งยืน
การผลิตไฟฟ้าโดยทั่วไปต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานที่เป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ทั้งภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดเป็นแนวคิดของการใช้แหล่งพลังงานสะอาด
‘Special Project Team’ คู่คิดนักออกแบบ เพื่อเติมเต็มทุกความต้องการ
แนวคิดของการออกแบบผิวอาคาร ย่อมแตกต่างกันไปตามจินตนาการของนักออกแบบ ที่สามารถข้ามขีดจำกัดของนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างไปได้อยู่เสมอ ซึ่งตรงกันกับ Brand DNA ของ FAMELINE ในด้าน ‘Flexible for the Needs’ ทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์และบริการ
3 รูปแบบจากวัสดุ ‘Aluminium Honeycomb Panel’ ที่ช่วยยกระดับการออกแบบผิวอาคาร
การยกระดับของอาคารให้สูงขึ้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแนวคิดที่สวยงาม และการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการก่อสร้างเท่านั้น แต่แนวคิดในการเพิ่มประสิทธิภาพของอาคาร ผ่านความสะดวกสบายของผู้ใช้งานเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ต้องแสดงออกผ่านองค์ประกอบในการตกแต่งผิวอาคารได้ด้วย
‘Beckers’ ระบบเคลือบสี Coil Coating ที่เติมเต็มแนวคิดของความยั่งยืน
ในปัจจุบัน องค์กรที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าที่มีนวัตกรรม การบริการ และความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ๆ ที่จัดการกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม สร้างรากฐานที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้มากขึ้น เช่นเดียวกันกับพันธกิจของ FAMELINE ที่มีการพัฒนาสินค้าและบริการ ร่วมกับแบรนด์ Beckers
‘ยกระดับคุณภาพชีวิต’ ด้วยเทคโนโลยีการตกแต่งอาคาร
แรกเริ่มเดิมทีเทคโนโลยีการตกแต่งอาคาร ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อความสวยงาม เพื่อยกระดับงานออกแบบทางสถาปัตยกรรม ที่ปรับเปลี่ยนไปตามความสร้างสรรค์ของแต่ละยุคสมัย แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องถูก ‘ยกระดับ’ ควบคู่กันไปด้วย ก็คือคุณภาพของการใช้ชีวิต